แมนฯ ยูไนเต็ด

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวกลั่นของ ลิเวอร์พูล ถูกฟ้องให้เห็นว่ามีฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำอย่างหนักจากสถิติในเกมแดงเดือดนัดบุกไปแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 ซึ่งสตาร์ทีมชาติ ฮอลแลนด์ สกัดบอลไม่ได้เลยแม้แต่หนเดียว

ฟาน ไดค์ ยอดกองหลังทีม ลิเวอร์พูล อยู่ในช่วงที่ถูกมองว่ามีฟอร์มการเล่นในซีซั่นนี้ผิดไปจากมาตรฐานของตัวเองลิบลับ และโดน เจมส์ มิลเนอร์ กองกลางจอมเก๋าต่อว่าที่ไม่เข้าสกัดจังหวะยิงของ เจดอน ซานโช่ ซึ่งทำให้ ปีศาจแดง ออกนำก่อนในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ส.ค.

ต่อผลงานในสนามของปราการหลังร่างยักษ์ มีการเผยสถิติที่น่าตกใจออกมาว่า ฟาน ไดค์ พยายามเข้าสกัดสองหน แต่พลาดทั้งสองครั้ง และลากบอลหนีฝ่ายตรงข้ามได้หนึ่งครั้ง อีกทั้งทำฟาวล์หนึ่งครั้ง

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เจอกับปัญหาใหญ่เข้าให้แล้วหลังคุมทีมออกสตาร์ตซีซั่นสามเกมแรกโดยไม่อาจนำชัยชนะมามอบให้กับ เดอะ ค็อป ได้

จึงถือเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยที่ เร้ด แมชีน ทีมรองแชมป์เมื่อซีซั่นที่ผ่านมาไม่อาจโชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งเหมือนที่เคยเป็นกระทั่งบุกไปแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมล่าสุดทั้งๆที่หลายนัดของเกมแดงเดือดในระยะหลัง หงส์แดง เป็นฝ่ายไล่จิกส่ง ผีแดง ลงหลุมได้เสมอ

ยิ่งการพ่ายให้กับ เอริค เทน ฮาก สองเกมต่อเนื่องก็ยิ่งทำให้ คล็อปป์ เสียเครดิตไปไม่น้อยแม้เกมปรีซีซั่นที่กทม.จะไม่มีความหมายก็ตาม

แน่นอนว่าสามเกมอาจเร็วเกินไปที่จะพิพากษาผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน แต่ขณะเดียวกัน มันผิดวิสัยทีมที่มีฉายาอันน่ายำเกรงว่า “เครื่องจักรสีแดง” ซึ่งเก็บได้แค่สองแต้มเท่านั้นจนถึงขณะนี้

และนี่คือ 6 ปัจจัยที่มีส่วนทำให้ ลิเวอร์พูล ประสบกับซีซั่นที่แลดูล่อแหลมไม่น้อย

1.เดี้ยง เดี้ยง และ เดี้ยง

ควีวิน เคลเลเฮอร์ , คัลวิน แรมซีย์ , อิบราฮิม่า โกนาเต้ , โฌแอล มาติป , เคอร์ติส โจนส์ , ติอาโก้ อัลกันตาร่า , อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน , นาบี้ เกอิต้า ,เคด กอร์ดอน , ดีโอโก้ โชต้า

นี่คือรายชื่อขุนพล ลิเวอร์พูล ที่ยังอยู่ในช่วงของการล้มหมอนนอนเสื่อ

และยังไม่นับรวม ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าคนใหม่ที่ยังเหลือการชดใช้โทษแบนต่ออีกสองเกม

แม้ ลิเวอร์พูล จะยังมีขุมกำลังที่ดีพอต่อการจัดทัพ 11 ตัวแรก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่น่าจะมีทีมไหนในระยะนี้ที่ประสบกับปัญหาขาดผู้เล่นที่เดี้ยงในคราวเดียวกันมากไปกว่าทีมจาก แอนฟิลด์ อีกแล้ว

ต่อปัญหาดังกล่าว ทำเอา คล็อปป์ ถึงกับเพ้อว่าทีมของเขากำลังโดนแม่มดเล่นงานเลยทีเดียวเพราะแต่ละรายที่ล้มเจ็บต้องร้างสนามกันไปนานพอดู

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ติอาโก้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของทีมไปแล้วเนื่องจากดาวเตะสแปนิชเปรียบได้กับจอมทัพที่สามารถบงการจังหวะการเล่นได้อย่างเหนือชั้น

โชต้า ก็เป็นอีกรายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขาทำให้ เร้ด แมชีน หมดพิษสงในการสอยตาข่ายลงไปเยอะ

เท่านั้นไม่พอ เกอิต้า ยังมาเจ็บเพิ่มจนลงเล่นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้อีกรายด้วย แถมส่วนใหญ่เป็นที่เชื่อกันว่ากว่าจะคืนสนามได้อาจต้องรอจนถึงช่วงกลางเดือนหน้าเลยทีเดียว

2.มิดฟิลด์ตัวใหม่?

ต้องตอกย้ำกันต่อว่าการขาดหายไปของ ติอาโก้ มีผลสำคัญทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่อาจคว้าผลลัพธ์ได้อย่างที่ควรจะเป็นแม้ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีเกมที่เหนือกว่าคู่แข่งเช่นเดิมก็ตาม

ต่อประเด็นนี้ สื่อสำนักต่างๆจึงพากันลือให้แซดว่า ลิเวอร์พูล จะยังไม่ปิดตลาดโดยพร้อมล่าตัวมิดฟิลด์มาเสริมทัพอีกราย

อย่างไรก็ดี ถึงขณะนี้ คล็อปป์ ยังทำเหมือนที่ให้สัมภาษณ์ว่า หงส์แดง ยุติการจ่ายตลาดแล้ว และไม่มีแผนเซ็นสัญญากับกองกลางเพิ่ม

จะอย่างไรก็ช่าง ในเมื่อตลาดยังไม่วายก็ต้องรอดูกันต่อว่ากุนซือด๊อยทช์จะเปลี่ยนความคิดหรือเปล่าในเมื่อทีมมีผลงานที่ย่ำแย่อย่างที่เห็น

ก่อนหน้านี้ คล็อปป์ เคยเซ็นสัญญากับกองหลังพร้อมๆกันหลายรายในช่วงที่ ลิเวอร์พูล ประสบกับปัญหามีแนวรับล้มเจ็บพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

หากแต่หลายรายไม่อาจโชว์ฟอร์มได้ดี บางทีจึงอาจทำให้ยอดกุนซือจากแดนไส้กรอกเข็ดหลาบกับการซื้อแบบร้อนรนก็เป็นได้

3.เครื่องร้อนช้า

ทำไปทำมา ลิเวอร์พูล ที่เคยยิงประตูคู่แข่งได้ตั้งแต่ต้นเกมบ่อยครั้งกลายเป็นทีมที่เครื่องร้อนช้าไปซะแล้ว

จากหกนัดหลังของ พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายโดนสอยตาข่ายก่อนตลอด และมันทำให้พวกเขาต้องเหนื่อยหนักที่ต้องคลำเป้าเพิ่มเป็นเท่าตัวหากหวังถึงชัยชนะ

กระทั่งในเกมแดงเดือด สถิติที่เลวร้ายนี้ก็ถูกเพิ่มเป็นเกมที่เจ็ดติดต่อกันแล้ว และมันแย่มากขึ้นก็ตรงที่ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายปราชัยแม้หกเกมก่อนหน้านี้พวกเขาจะโชว์ความเป็นม้าตีนปลาย เอาตัวรอดได้ก็ตามจากผลลัพธ์ชนะสาม เสมอสาม

ฉะนั้นแล้ว ปัญหาจึงอาจเกิดจากแนวรับที่เริ่มมีช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นงานมากขึ้น โดยเฉพาะเกมโต้กลับซึ่ง หงส์แดง มักเสียท่าให้กับคู่ต่อกรโดยตลอด

4.คีย์แมนฟอร์มตก

เห็นได้ชัดเจนว่าซีซั่นนี้ ดาวเตะทีม ลิเวอร์พูล หลายรายมีฟอร์มการเล่นที่ถดถอย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปราการหลังตัวแกร่งอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งโดน อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช เล่นงานมาแล้วในเกมเปิดซีซั่นที่ หงส์แดง บุกไปไล่ตีเสมอ ฟูแล่ม ทีมน้องใหม่ 2-2

และในเกมแดงเดือด ฟาน ไดค์ ก็ไม่วายโดน เจมส์ มิลเนอร์ เพื่อนร่วมทีมตำหนิที่ไม่คิดเข้าสกัด เจดอน ซานโช่ ในจังหวะเสียประตูแรกให้ ผีแดง เนื่องจากกองหลังทีมชาติ ฮอลแลนด์ เลือกที่จะยืนบังทางมากกว่า

ในรายของ ฟาน ไดค์ อาจเป็นไปได้ว่าเขาขาดคู่ขาคนสำคัญในระยะนี้จึงเล่นผิดฟอร์มไปมาก

นอกจากนี้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แบ็คขวาของ เร้ด แมชีน ก็เป็นอีกรายที่ฟอร์มตกอย่างชัดเจนจนหนีไม่พ้นโดนวิจารณ์มาหลายนัดแล้ว

ไม่เพียงจะโยนบอลยาวไม่เข้าเป้าเหมือนเคย และเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ หากแต่แบ็คขวาทีมชาติ อังกฤษ ถูกเพ่งเล็งว่ามีจุดอ่อนในการเล่นเกมรับด้วยเนื่องจากมักเปิดพื้นที่ให้ตัวรุกของทีมคู่แข่งโจมตีอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลให้ อลิสซง ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวในหลายๆเกม

5.ไร้ มาเน่ ไร้ประตู

ถึงขณะนี้ มันเป็นเหมือนที่กูรูหลายรายเชื่อมั่นว่า ลิเวอร์พูล จะประสบกับปัญหาใหญ่หลังเสียสตาร์คนสำคัญอย่าง ซาดิโอ มาเน่ ที่ย้ายไปยิงระเบิดเถิดเถิงให้กับ บาเยิร์น มิวนิค แทน

และไม่เพียงเท่านั้นเนื่องจาก หลุยส์ ดิอาซ ไม่อาจทดแทนการจากไปของดาวเตะทีมชาติ เซเนกัล ได้จริงๆดังจะเห็นว่าปีกทีมชาติ โคลอมเบีย อาจมีความเร็วจัด และมีลีลาที่แพรวพราว หากแต่สิ่งที่เขามอบให้ ลิเวอร์พูล เหมือนกับ มาเน่ ไม่ได้คือวิญญาณเพชฆาตในการสอยตาข่าย

ต่อการแยกทางกับ มาเน่ คล็อปป์ ตระหนักดีว่าสโมสรเสียหายอย่างหนักเนื่องจาก ลิเวอร์พูล เสียเครื่องจักรถล่มประตูชั้นยอดให้กับ เสือใต้ และจัดแจงดึง ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มาจากทีม ฟูแล่ม

ว่าถึงดาวเตะโปรตุกีส บอกได้เลยว่า หงส์แดง ลงทุนได้อย่างถูกต้องแล้วเนื่องจากความสามารถเฉพาะตัว และลีลาการเล่นของเขาเข้ากับระบบของสโมสรอย่างลงตัว

แต่ก็นั่นแหละ ด้วยวัยเพียง 19 ปี ลิเวอร์พูล จึงต้องรอเวลาให้ คาร์วัลโญ่ แกร่งกล้ากว่านี้อีกก่อนที่เขาจะสามารถทดแทนการจากไปของ มาเน่ ได้อย่างเต็มตัว

6.บักโกรก

คงไม่มีใครลืมว่าซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นคว้าแชมป์ถึงสี่รายการ แม้ลงเอยแล้วพวกเขาจะได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยติดมือมาสองใบทั้ง เอฟเอคัพ และ คาราบาวคัพ

ในเมื่อมีลุ้นสร้างประวัติศาสตร์เยี่ยงนี้ พลพรรค เร้ด แมชีน จึงมีคิวลงสนามถี่ยิบกับสี่รายการซึ่งพวกเขามีลุ้นจนถึงหยดสุดท้ายทั้ง พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ลีก

รวมแล้ว ลิเวอร์พูล ต้องออกศึกมากถึง 63 นัด แถม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นก่อนยังใช้กฏเดิมเปลี่ยนตัวสำรองได้แค่สามรายด้วย ไม่เหมือนซีซั่นนี้ที่เปลี่ยนเพิ่มได้เป็นห้าราย

เป็นซะอย่างนี้ นักเตะจากค่าย แอนฟิลด์ จึงขาลากไปตามๆกันเนื่องจากได้พักรบเพียงน้อยนิด แถมซีซั่นนี้ต้องกลับมาลงบู๊เร็วกว่าปกติอีกเนื่องจากโปรแกรม ฟุตบอลโลก ถูกขยับมาเตะกันในหน้าหนาวแทนด้วยอำนาจเงินที่ ฟีฟ่า ใส่ใจมากกว่าสภาพร่างกายของพ่อค้าแข้ง

ดังคำกล่าวที่ว่า คนไม่ใช่เครื่องจักร จึงไม่แปลกที่เกมของ ลิเวอร์พูล อาจเร่งไม่ขึ้นหลังจากนักเตะในทีมบักโกรกกันโดยถ้วนหน้าตั้งแต่ซีซั่นก่อนแล้ว

จากซีซั่นก่อนที่ ลิเวอร์พูล ทำแต้มหลุดมือไปแค่ 22 แต้ม มาซีซั่นนี้พวกเขาทำแต้มหลุดมือไปแล้วเจ็ดแต้มด้วยกัน

นี่เองที่เป็นวิกฤตหกประการที่ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์กำลังประสบอย่างน่าเห็นใจ